
Twitter ยอมจ่ายค่าปรับฐานละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใช้
Twitter ยอมจ่ายค่าปรับจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,155 ล้านบาท) หลังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ฟ้องเมื่อวันพุธ (25 เม.ย.) ฐานหลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับวิธีการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขา
ในสำนวนฟ้องระบุว่า Twitter ไม่ได้แจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าทางบริษัทใช้ข้อมูลติดต่อของพวกเขาเพื่อช่วยนักการตลาดกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับการโฆษณา
ตั้งแต่เดือนเมษายน 2013 ถึงเดือนกันยายน 2019 ทวิตเตอร์ได้แสดงข้อความเท็จต่อผู้ใช้บริการถึงขอบเขตในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลติดต่อที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน โดยได้แจ้งผู้ใช้แต่เพียงว่าหมายเลขโทรศัพท์และอีเมลของพวกเขาถูกใช้เพื่อความปลอดภัยของบัญชี แต่ไม่ได้พูดถึงการนำไปใช้เพื่อการโฆษณาแต่อย่างใด
ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดพระราชบัญญัติคณะกรรมการการค้าสหรัฐ หรือ FTC และข้อตกลงด้านความเป็นส่วนตัวปี 2011 ระหว่างทวิตเตอร์กับ FTC ซึ่งห้ามไม่ให้บริษัทบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลผู้บริโภคที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน และไปสู่การฟ้องร้องดังกล่าว
โดยค่าปรับจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ ยังนำไปสู่ข้อตกลงใหม่ระหว่าง Twitter กับ FTC ที่ห้ามไม่ให้บริษัทแสวงหากำไรจากสิ่งที่ FTC อธิบายว่าเป็น ‘ข้อมูลเก็บรวบรวมมาโดยการหลอกลวง’
นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้วิธียืนยันตัวตนอื่นๆ ที่ไม่ใช้เบอร์โทรศัพท์ เช่น Multi-factor Authentication ซึ่งเป็นการเพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนอีกวิธีหนึ่งเข้าไปนอกเหนือจากการใช้ Password นอกจากนี้ทางบริษัทจะต้องแจ้งให้ผู้ใช้รับทราบว่าทวิตเตอร์เคยใช้ข้อมูลติดต่อของพวกเขาเพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาด้วย
ทั้งนี้ ลีน่า คาน กรรมการในคณะกรรมการการค้าสหรัฐ หรือ (FTC) กล่าวในแถลงการณ์ว่า “มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ได้ผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวถึง 140 ล้านคน ในขณะที่ทวิตเตอร์มีรายได้จากการโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักเพิ่มขึ้น”
ด้าน ดาเมียน เคียราน หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “Twitter ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้เพื่อการโฆษณา และปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2019 และในวันนี้เรายังคงเน้นย้ำการทำงานของเราในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ทวิตเตอร์”
“บริษัทให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และเราได้ร่วมมือกับ FTC ในทุกขั้นตอน ซึ่งในการบรรลุข้อตกลงนี้เราได้จ่ายค่าปรับจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ และเราได้ประสานงานกับทาง FTC ในการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวได้รับความคุ้มครอง”