นโยบาย “ยืนหลังตรง” ของพรรคก้าวไกล ดีต่อประเทศไทยจริงหรือ ? ถอดบทเรียนผ่านขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ต่างฝ่ายต่างก็ใช้นโยบาย “ยืนหลังตรง” ใส่กัน และยากจะจบลงหากไม่ใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” โดย ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
ภายหลังการเลือกตั้ง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า หากมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะทำการปรับนโยบายต่างประเทศของไทยเป็นแบบ “ยืนหลังตรง” และจะไม่ใช้นโยบาย “ไผ่ลู่ลม” อีกต่อไป โดยจะเน้นชูประเด็นเรื่องมนุษยธรรมเป็นหลัก เพื่อมุ่งสู่การทำให้ไทยมีบทบาทนำในภูมิภาค ASEAN
ทำให้เกิดคำถามว่า แนวทางทางการทูตของไทยที่ผ่านมานั้น ไม่ดีจริงหรือ ? โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์ ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งภายในนั้น เราควรจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของเขาจริงหรือ ?
ถึงแม้ว่าภาพสื่อที่ถูกฉายออกมานั้น จะถูกฉายออกมาว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมาร์ กับประชาชน แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การปกครองภายในของเมียนมาร์ เป็นการปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐ ที่รัฐบาลกลางของเมียนมาร์ ไม่สามารถควบคุมปกครองขั้วอำนาจท้องถิ่นได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นมาตลอด แม้ในยุครัฐบาลประชาธิปไตย ที่มีนายวี่น-มหยิ่น เป็นประธานาธิบดี และมีนาง อองซาน ซูจี เป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
กลุ่มอำนาจท้องถิ่นในเมียนมาร์ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่แยกกันปกครองตนเอง และมีกองกำลังติดอาวุธของตนเอง เป็นความขัดแย้งภายในของเพื่อนบ้าน ที่ต้องการเวลา และกระบวนการภายในเพื่อการสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
ที่ผ่านมารัฐบาล และกองทัพไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่พี่น้องประชาชนชาวเมียนมาร์มาโดยตลอด ยามเขารบกัน เราให้ที่พักพิง ให้ที่อยู่อาศัย ให้อาหาร และบริการด้านสาธารณสุข ในยามเขาสงบ ประชาชนชาวเมียนมาร์ที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย อย่างถูกกฎหมาย เราให้สิทธิในการขอรับบริการด้านสาธารณสุข มอบสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานแก่พวกเขา รวมถึงให้บริการด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่ลูกหลานแรงงานที่เกิด หรือติดตามผู้ปกครองเข้ามาในประเทศไทย
นอกจากนี้ ประเทศไทย ยังพึ่งพาทรัพยากรจากเมียนมาร์ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ที่ไทยได้รับจากเมียนมาร์ถึง 550 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนชาวไทย 11 ล้านคนในภาคตะวันออก และภาคกลางบางส่วน
หากเราแตกหักกับรัฐบาลเมียนมาร์ จนเขาไม่ส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่เรา แล้วคนไทย 11 ล้านคนจะแบกรับปัญหาพลังงานครั้งนี้ได้อย่างไร ? ทุกวันนี้ ไม่มีประเทศใดในโลกที่ไม่ต้องการพลังงาน เมื่อไม่นานมานี้เอง รัฐบาลเวียดนามเพิ่งประสบปัญหาจากวิกฤตพลังงาน เนื่องจากนโยบายพลังงานที่ผิดพลาด จนไม่มีขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ
และเมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขด้านภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ที่เหล่าชาติมหาอำนาจล้วนแต่หมายปอง และด้วยเงื่อนไขที่ได้เปรียบนี้เอง ที่ทำให้บรรดาชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ไม่ว่าจะขั้วแองโกล-ยูโรเปี้ยน (อเมริกา-อังกฤษ-ยุโรป) หรือจีนและรัสเซีย ต่างหมายปองที่จะเกี่ยวดองผูกสัมพันธ์กับประเทศไทย ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และทางทหาร
เงื่อนไขที่พิเศษเหล่านี้เอง ที่ทำให้ประเทศไทย สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของชาติจากเหล่ามหาอำนาจได้อย่างเต็มที่ ผ่านนโยบายทางการทูตที่เน้นการสร้างสมดุลทางอำนาจ หรือที่ถูกเรียกว่า “นโยบายไผ่ลู่ลม” ซึ่งสิ่งนี้จะเห็นได้จากการค้าและการลงทุนจากชาติมหาอำนาจทั้ง 2 ฝั่ง สร้างงาน สร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
นอกจากนี้ ประเทศไทยของเรา ยังสามารถค้าขายได้กับทุกประเทศในโลก โดยไม่ถูกกีดกันทางการค้าและการลงทุนจากชาติใดในโลก ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ประเทศไทยของเราเพิ่งจะประสบความสำเร็จในการส่งทุเรียนสดจากไทย ผ่านขบวนรถไฟแช่เย็นถึงจีนได้โดยตรง สร้างโอกาสทางการค้า และรายได้ให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย
เราจำเป็นจะต้องทำลายสมดุลอำนาจนี้ด้วยนโยบายเลือกข้าง “ยืนหลังตรง” สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นเช่นนี้จริง ๆ หรือ ?
และเมื่อพิจารณาถึงนโยบายทางการทูตของกองทัพไทย ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา กองทัพไทยใช้นโยบายการทูตนำการทหาร ใช้ทูตทหารเข้าไปผูกสัมพันธ์กับกองทัพประเทศเพื่อนบ้าน สร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อลดความขัดแย้งในระดับปฏิบัติการ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียให้กับกำลังพลแล้ว ยังช่วยทุ่นงบประมาณของกองทัพลงได้อีกด้วย
ถ้าหากประเทศไทย เลือกใช้นโยบายยืนหลังตรง ยอมหักไม่ยอมงอขึ้นมาจริง คงยากที่ประเทศไทยจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน อาจนำมาซึ่งความจำเป็นในการเพิ่มงบประมาณทางทหาร เพื่อการรักษาความสงบมั่นคงในประเทศ ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางลดงบประมาณกองทัพของพรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง
ที่สำคัญคือ การสูญเสียโอกาสทางการค้า การลงทุน และการสูญเสียงาน และรายได้ของพี่น้องประชาชนชาวไทย ทำลายผลประโยชน์ของชาติไทยอย่างร้ายแรง
ผลเสียที่ร้ายแรงของแนวทางยืนหลังตรง ความจริงแล้ว มีตัวอย่างและบทเรียนให้เห็นหลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์โลก แต่เราไม่จำเป็นจะต้องไปมองให้ไกลถึงขนาดนั้นเลย เพียงมองความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ก็จะเห็นได้ชัดว่าทั้ง 2 ฝ่ายนั้น ต่างมีท่าทีที่แข็งกร้าวใส่กัน ยั่วยุกันไปมา จนถึงขั้นมีการจัดตั้งมวลชนเพื่อแสดงพลังใส่กัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมมาเกือบตลอด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ขัดแย้งกันรุนแรง สร้างความวิตกให้กับพี่น้องประชาชนมากเท่ากับครั้งนี้เลย ด้วยต่างฝ่ายต่างก็มีจำนวน ส.ส. ในสภาก้ำกึ่งกัน แทบไม่ได้แตกต่างกันเลย จึงทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ “ยืนหลังตรง” ใส่กัน และไม่มีท่าทีว่าจะจบลง หากไม่มีการเจรจาตามแนวทางแบบ “ไผ่ลู่ลม”
พรรคก้าวไกล ควรนำบทเรียนในครั้งนี้มาพิจารณาถึงผลเสียของแนวทางที่ยึดมั่นแข็งกร้าวจนเกินไปในครั้งนี้มาเป็นบทเรียน ทบทวนถึงแนวนโยบายการต่างประเทศ เพื่อรักษาสมดุลอำนาจในระดับภูมิรัฐศาสตร์ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุด ให้แก่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน
อ้างอิง :
[1] BBC ไทย, “รัฐประหารเมียนมา : ปตท. สผ. แจงขึ้นเป็นผู้ดำเนินการ + ได้หุ้นเพิ่มในแหล่งก๊าซยาดานาหลังโททาลถอนตัว”, https://www.bbc.com/thai/60738172
[2] ข่าวหุ้น, “ด่วน! เวียดนามแจ้งดับไฟหลายพื้นที่ หลังเผชิญปัญหาขาดแคลน กำลังผลิตสำรองไม่เพียงพอ” , https://www.kaohoon.com/news/607758
[3] The Structure, “สถิติการลงทุนในประเทศไทย ประจำไตรมาส 1 2566”, https://www.facebook.com/thestructure.live/posts/pfbid02Jojp4J2bK2YbUjoHVPJPQjCuxtMuG2DioT5n8YJ4MQN77Ly4TukC5wSPWTnvhGrWl
[4] The Structure, “ผ่านฉลุยรถไฟแช่เย็นขนทุเรียนไทยผ่านศุลกากรจีนฉลุยทำลายสถิติขนส่งเร็ว แซงรถและเรือ แถมประหยัดผลไม้ไทยอีก 25,000 ตันรอจ่อคิว ตีตลาดจีน”, https://www.facebook.com/thestructure.live/posts/pfbid02LFq8pMB4A2NqdvzZ4zgjwtKQkrUcFvegmHaNp2mUNaHRGV5fBpJwU4cf8s6V4XTxl