“โควิแทรป” สเปรย์พ่นจมูกต้านโควิด-19 นวัตรกรรมใหม่ของโลก ฝีมือคนไทย หาซื้อได้ตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป
ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, มหาวิทยาลัยศิลปากร, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), องค์การเภสัชกรรม และ บริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด ทีมนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ค้นพบ“แอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19”
และพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ “โควิแทรป – สเปรย์พ่นจมูกดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมแรกในโลก ที่นำแอนติบอดี้มาสร้างเป็นสเปรย์พ่นจมูก ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. เพื่อดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ในโพรงจมูกแอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด
สำหรับการค้นพบนี้ นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่หายดีแล้วจำนวนกว่า 300 คน แล้วนำเลือดที่ได้มาตรวจหาบีเซลล์ (B cells) เพื่อค้นหาเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถสร้างแอนติบอดี้ที่จัดการเชื้อโควิด-19ได้
“จากบีเซลล์นับล้านตัว เรานำมาผ่านกระบวนการ High-Throughput Screening จนพบบีเซลล์ที่ผลิตแอนติบอดี้ที่สามารถต้านเชื้อโควิด-19ได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นก็นำบีเซลล์นี้ไปทำการถอดรหัสพันธุกรรมของยีนแอนติบอดี้(Immunoglobulin Gene)แล้วนำเข้าสู่การผลิตแอนติบอดี้โดยกระบวนการทางอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้แอนติบอดี้ปริมาณมาก” อาจารย์นายแพทย์ ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
นอกจากนี้ อาจารย์ไตรลักษณ์ยังได้เสริมว่า ทีมวิจัยได้นำเอาองค์ความรู้จากการทำยารักษามะเร็งมาใช้ เพื่อการต่อยอดพัฒนา จนกลายเป็นยาโควิแทรป ต้านโควิดตัวใหม่นี้
โดยแอนติบอดี้ดังกล่าวจะช่วยดักจับและยับยั้งเชื้อโควิด-19 ที่เข้ามาในบริเวณนั้น ๆ อย่างกรณีที่ใช้วิธีฉีดแอนติบอดี้เข้าไปในร่างกายแอนติบอดี้ก็จะเข้าไปป้องกันส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น กระแสเลือด ปอด ลำไส้เยื่อบุต่าง ๆ ส่วนวิธีการพ่นแอนติบอดี้เข้าไปในจมูกแอนติบอดี้ก็จะเคลือบอยู่บนผิวเยื่อบุของโพรงจมูกป้องกันไม่ให้ไวรัสจับกับเซลล์เยื่อบุโพรงจมูกแล้วเข้าไปในร่างกายจนเกิดการติดเชื้อในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ย้ำว่า การทำงานของแอนติบอดี้นั้นแตกต่างจากวัคซีน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกัน และใช้ทดแทนกันได้
นอกจากนี้ โควิแทรปและหน้ากากอนามัยทำหน้าที่เสริมกัน ถ้านำทั้งสองอย่างมาใช้ร่วมกัน ก็จะมีประสิทธิภาพในการรับมือกับเชื้อโควิด-19 ได้ดีขึ้นมากกว่าเดิม เสมือนหนึ่งมีปราการ 2 ชั้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดโควิดได้มากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่า โควิแทรปได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยในกลุ่มอาสาสมัครอายุ 18-60 ปีแล้ว แต่ อ.นพ.ไตรรักษ์ แนะนำว่าควรใช้สเปรย์ “โควิแทรป”เท่าที่จำเป็น หากใช้แล้วมีอาการผิดปกติ ก็ไม่ควรใช้ต่อและควรใช้กับเด็กที่โตพอที่จะสื่อสารได้เท่านั้นเพื่อที่จะได้ทราบว่าเด็กมีอาการผิดปกติหรือไม่
นอกจากนี้ โควิแทรปเป็นนวัตกรรมที่มีความยืดหยุ่นสูง นอกจากการนำตัวแอนติบอดี้ประสิทธิภาพสูงต้านเชื้อโควิด-19 มาพ่นจมูกแล้ว ยังสามารถนำแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสทางเดินหายใจตัวอื่น ๆ มาพัฒนาต่อยอดเป็นสเปรย์พ่นจมูกเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น ๆได้อีกด้วย
โควิแทรปผ่านการทดสอบตามมาตรฐานขององค์การอาหารและยา และขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันมีวางจำหน่ายตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป