Here We Go 14

ขอแสดงความยินดีกับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ ขอแสดงความยินดีกับคนกรุงเทพที่จะได้เห็นและได้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายของทุกโพลและของคนกรุงเทพที่เบอร์ 8 จะชนะแบบถล่มทะลาย และไม่มีการโหวตเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้

ความต้องการเปลี่ยนแปลงและต้องการเห็นสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครคือ เหตุผลที่ทำให้ชัชชาติชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด คนกรุงเทพมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่าง ชัชชาติกับทักษิณหรือเพื่อไทย แม้จะมีความพยายามทำให้ภาพนี้มาหลอกหลอนคนกรุงเทพ แต่ใน ที่สุดก็ไม่ได้ผล

ความต้องการเห็นกรุงเทพถูกบริหารโดยผู้ว่าคนใหม่ คนที่ไม่ใช่คนของ คสช.หรือ เครือข่าย คสช. เพราะคนกรุงเทพอยู่กับผู้ว่าของเครือข่ายนี้มา 7 ปีเต็ม แต่เป็นคนที่จะทำให้เกิด ความเปลี่ยนแปลงขึ้นในกรุงเทพ

พอดีคน Profile ดีมากๆ อย่างชัชชาติอาสามาสมัคร ประวัติ สวยงาม ชาติตระกูลดี การศึกษาดี เคยเป็นเป็นผู้บริหารระดับรัฐมนตรีว่าการ มีท่าทีประนีประนอม ผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่แข็งกร้าว ติดดิน ถูกใจคนกรุงเทพไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่รวมถึงคน รุ่นอายุสี่สิบห้าปีขึ้นไปก็เทคะแนนเสียงให้ชัชชาติไม่น้อย

แล้วทำไมไม่เทคะแนนให้สุชัชวีร์ วิโรจน์ สกลธี อัศวิน หรือรสนา คำตอบก็คือ คนกรุงเทพ ไม่ชอบความก้าวร้าว ไม่ชอบความคิดที่ให้ร้ายป้ายสีสิ่งที่เคารพรัก ไม่ชอบความขี้คุยโวโอ้อวด ชีวิต ส่วนตัวถูกตั้งคำถามทางจริยธรรม พรรคที่สังกัดถูกตั้งคำถาม เบื่อคนที่มาจาก กปปส. คสช. หรือ กลุ่มพันธมิตร

แม้จะมีผู้สมัครน่าสนใจ แต่เบื่ออย่างถึงที่สุด ขืนเลือกเข้ามา กรุงเทพก็คงเหมือนเดิม ผลการเลือกตั้งจึงออกมาชัชชาติได้คะแนนเสียงของคนกรุงเทพไป 1.38 ล้านคะแนน คะแนนเสียง การเลือกตั้งครั้งนี้บ่งบอกอะไรหรือให้ความหมายทางการเมืองอะไรแก่พวกเราบ้างหรือไม่ เป็น เรื่องที่ควรคุยกันต่อไป

มาดูคะแนนผู้สมัครผู้ว่า กทม. แต่ละคน สุชัชวีร์ 2.54 แสนคะแนน วิโรจน์ 2.53 แสนคะแนน สกลธี 2.30 แสนคะแนน อัศวิน 2.14 แสนคะแนน รสนา 7.8 หมื่นคะแนน และ

หันมาดูผลการเลือกตั้ง ส.ก. ในวันเดียวกัน เพื่อไทยได้ 20 คน ก้าวไกล 14 คน ประชาธิปัตย์ 9 คน กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 3 คน ไทยสร้างไทย 2 คน พลังประชารัฐ 2 คน       

ผลการเลือกตั้งทั้งสองประเภทบอกอะไรบ้าง ถ้าจำได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราคุยเรื่อง First Time Voters มีอยู่ประมาณ 7 แสนคน เดิมเคยคิดว่าจะเทไปให้ชัชชาติกับวิโรจน์

แต่เมื่อดูตัวเลขคะแนนเสียงโดยเฉพาะของวิโรจน์ที่ควรได้คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้มากที่สุด กลับพบว่าอย่างมาก ที่สุดวิโรจน์ได้คะแนนมาไม่ถึง 30 % คะแนนเสียงของกลุ่มนี้ถูกแบ่งไปให้ ชัชชาติ สุชัชวีร์ และสกลธี

มีคนอธิบายว่าปรากฏการณ์แบบนี้แสดงว่าคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ใช้การโหวตเชิงยุทธศาสตร์ให้กับวิโรจน์เสียทีเดียว มีเสรีในการลงคะแนนค่อนข้างมาก มีอิสระทางความคิดที่ไม่ให้ใครมาครอบงำ

ถ้าการวิเคราะห์นี้ถูกต้องก็น่าดีใจว่าคนรุ่นใหม่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีเหตุผล และเลือกที่จะลงคะแนน ให้กับคนที่คิดว่าจะทำประโยชน์ให้กับเขาได้มากที่สุด จึงน่าคิดว่าโลกจริงกับโลกเสมือนจริงในออนไลน์ไม่ได้มีความเหมือนกันอย่างสิ้นเชิง

ประเด็นนี้น่าสนใจที่จะศึกษารายละเอียดในเชิง สังคมวิทยาต่อไป คนรุ่นใหม่อาจไม่ได้ถูกล้างสมอง หรือการล้างสมองไม่ประสบความสำเร็จ ที่น่าคิดคือคนที่มีนิสัยก้าวร้าว มีความคิดสุดโต่งไม่สามารถครองใจคนรุ่นใหม่ได้           

ประชาธิปัตย์ทำได้ไม่เลว มาอันดับสองได้ ถือว่าฐานเสียงของประชาธิปัตย์ยังพอมี มีโอกาสรื้อฟื้นความนิยม สามารถเรียกขวัญกำลังใจของคนประชาธิปัตย์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ กรุงเทพ แต่น่าเสียดายว่าประชาธิปัตย์ขาดแกนนำที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวกรุงเทพอย่างที่เคยมี คนชื่ออภิสิทธิ์เป็นขวัญใจชาวกรุงเทพ

ประชาธิปัตย์จะปรับยุทธศาสตร์ใหญ่ของพรรคได้หรือไม่ คงต้องรอดู ตรงกันข้ามกับพรรคกล้า ไม่สามารถได้ที่นั่ง ส.ก. แม้แต่ที่นั่งเดียว เป็นเรื่องที่น่า ผิดหวังของคนก่อตั้งพรรคและกองเชียร์

ก้าวไกลคงผิดหวังที่วิโรจน์ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่ตั้งความหวังไว้มาก คงต้องซ่อน ความผิดหวังไว้บนความสำเร็จที่ไม่อาจมองข้าม จำนวน ส.ก.ที่ได้มาพอเป็นกำลังใจและความหวัง สำหรับอนาคตได้บ้าง

อิทธิพลจากการชี้นำของปิยะบุตรมีความขลังหรือไม่ หรือปวิน ณ เกียวโต แย่งชิงอิทธิพลทางการนำไปเสียแล้ว เป็นคำถามของนักสังเกตการณ์ทางการเมือง

ในกลุ่มคน รุ่นใหม่พูดกันว่าก่อนวันเลือกตั้งพวกเขารอดูสัญญาณจากสองคนนี้ แต่สัญญาณที่ปล่อยออกมากลับ ตรงกันข้ามกันเสียนี่ คะแนนจึงสร้างความผิดหวังให้กับก้าวไกล อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า

ผลที่ออกมาครั้งนี้ทำให้เกิดความหวั่นไหวพอสมควรในหมู่คนไทยที่มีความเป็นห่วงเรื่องความคิด สุดโต่ง คนจงรักภักดีตั้งคำถามกับความสำเร็จของก้าวไกล อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

การเปลี่ยนแปลงประเทศที่ก้าวไกลกับคณะก้าวหน้าจับมือกันจะเดินต่อไปเช่นไร และคานงัดที่จะยัน หรือต้านทานความคิดสุดโต่งให้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวคืออะไร

พลังประชารัฐ ถูกตั้งคำถามสำคัญ มาถึงจุดจบของการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว หรือไม่ จะไปต่อได้หรือไม่ 3 ป.จะทำอย่างไรต่อไป เพราะอัศวินแพ้ขาดลอย แพ้วิโรจน์ แพ้สกลธี แพ้สุชัชวีร์ การเลือกตั้ง ส.ก. ก็แพ้เพื่อไทยและก้าวไกลแบบขาดลอย

กองเชียร์ใจแป้วแถมหงุดหงิด ก็คงต้องมองว่า การเลือกตั้งสนามใหญ่กับสนามเล็กแตกต่างกัน ไม่สามารถนำมาเปรียบกันได้ก็จริง แต่ผลเลือกตั้งแบบนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสะท้อนความรู้สึกของคนกรุงเทพที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐและ อาจเลยไปถึงพี่น้อง 3 ป.

คำว่าต้องการการเปลี่ยนแปลง หรือ CHANGE มิอาจมองข้าม อะไรที่ตั้ง อยู่มายาวนานต้องมีการเปลี่ยนแปลงสัจธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยไตรลักษณ์พูดไว้ชัดเจนว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในบั้นปลาย ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ ตลอดไป

การตั้งอยู่ในท่ามกลาง พระท่านสอนไว้ว่าจะให้ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างการตั้งอยู่นั้น เช่นเดียวกันกับเรื่องของบ้านเมือง ในที่สุดแล้วอะไรก็ไม่สามารถต้านทาน หรือขัดขืนกับการเปลี่ยนแปลง จึงนับเป็นข้อคิดสำคัญสำหรับผู้มีอำนาจทางการเมือง

โดย แกงส้ม