ฟาร์มไก่ขอคงราคาไก่ ตั้งแต่ที่ปรับขึ้นเดือนพฤษภาคม 65 เพื่อให้เป็นไปตามต้นทุนกลไกตลาด

วันนี้ (15 ก.ค.) นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกมาประกาศว่า ไก่เนื้อหน้าฟาร์ม จำเป็นต้องปรับขึ้นราคา เป็น 41 บาท/กก. ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากเดิมที่ 39 บาท/กก. เมื่อเดือนมกราคม 2565 และยังคงยืนราคานี้เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้

เนื่องจากต้นทุนการผลิตเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 42-43 บาท/กก. ซึ่งเป็นผลมาจากราคาข้าวโพดที่ใช้สำหรับเลี้ยงไก่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีนี้เกิน 13 บาท/กก.

นอกจากนี้ การปรับเพิ่มราคาน้ำมันดีเซลในประเทศจากเดิมลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 35 บาท ยังส่งผลให้ค่าขนส่งสูงขึ้น 20% เป็นค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรต้องแบกรับไว้ด้วย ซึ่งผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตก็ต้องรับภาระต้นทุนสูงขึ้นไม่ต่างกัน

นางฉวีวรรณ อธิบายเพิ่มเติมว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไม่ต่างกับผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องเผชิญภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ น้ำมัน และปัจจัยการผลิตและการป้องกันโรค จึงมีความจำเป็นต้องปรับราคาหน้าฟาร์มขึ้นบ้างให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้

หากเนื้อไก่ถูกควบคุมราคามากเกินไปเกษตรกรโดยเฉพาะรายย่อยและรายเล็กจะไม่สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ต้องปิดกิจการแน่นอน การปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด โดยภาครัฐเป็นผู้กำกับดูแลเป็นการสร้างสมดุลผู้บริโภคและเกษตรกรให้อยู่รอดในภาวะวิกฤตไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม นางฉวีวรรณ กล่าวย้ำว่า คนไทยไม่ต้องกังวลว่าเนื้อไก่จะขาดแคลน โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตเนื้อไก่ไทยปี 2565 อยู่ที่ 2.93 ล้านตัน

ขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศประมาณ 1.99 ล้านตัน และจะมีการส่งออกผลผลิตส่วนเกินประมาณ 900,000 ตัน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในประเทศไม่ให้ตกต่ำจนเกษตรกรไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ ที่สำคัญไก่ที่นำไปส่งออกไม่กระทบต่อการบริโภคของคนไทยแน่นอน

ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจการปรับราคาเนื้อไก่เป็นตามกลไกตลาด ที่สร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรและผู้บริโภค การควบคุมราคาสินค้ามากเกินไปในภาวะวิกฤตอาจจะทำให้ผู้ประกอบการขาดทุนสูงจนไม่สามารถแบกภาระขาดทุนต่อไปได้จนทำให้เลิกกิจการ จะทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมลดลงและอาจจะหายไปจากตลาดหรือราคาผลผลิตน้อยและมีราคาสูงกว่าปกติ จะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศมากกว่าการปล่อยให้ราคาปรับขึ้นได้อย่างสมเหตุผลตามต้นทุนที่แท้จริง