
ไบเดนอ้างไม่ได้เข้าพบมกุฎราชกุมารซาอุฯ เป็นการส่วนตัว
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันศุกร์ (17 มิ.ย.) ว่า การเดินทางเยือนซาอุในเดือนหน้าเพื่อเข้าร่วมประชุมนานาชาติเท่านั้น ไม่ได้เป็นการเดินทางเข้าพบมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิล ซัลมาน เป็นการส่วนตัวแต่ประการใด
โดยแผนการเข้าพมกุฎราชกุมารซาอุฯ ของไบเดนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางไปภูมิภาคอ่าวอาหรับครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตามไบเดนถูกนักกการเมืองในสภาคองเกรส รวมถึงสมาชิกจากพรรคเดโมแครตบางคน และนักสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ โดยกล่าวหาว่าการเยือนซาอุฯ ของไบเดนในครั้งนี้ ไม่สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาด้านนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เคยให้ไว้ว่าจะเชิดชูสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ เมื่อนักข่าวถามว่า ในระหว่างการเยือนซาอุฯ จะจัดการอย่างไรกับกรณี ญะมาล คอชุกญี คอลัมนิสต์ของวอชิงตันโพสต์ ชาวซาอุดีอาระเบีย ถูกสังหารและถูกหั่นศพเป็นชิ้น ๆ ภายในสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกีเมื่อปี 2018
ไบเดนตอบแต่เพียงว่า “ไม่ได้ไปเข้าพบมกุฎราชกุมารเป็นการส่วนตัว เพียงแต่จะเข้าร่วมการประชุมที่มกุฎราชกุมารจะเข้าร่วมด้วยเท่านั้น”
ด้านโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ไบเดนจะเยือนซาอุฯ ตามคำเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด และประมุขรัฐอีก 8 คน ให้เข้าร่วมประชุมสุดยอด GCC+3 ซึ่งไบเดนและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะประชุมทวิภาคีกับกษัตริย์ซัลมานและทีมงานของเขา ซึ่งรวมถึงมกุฎราชกุมารด้วย
ทั้งนี้ สมัยที่ไบเดนยังคงเป็นเพียงผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเคยลั่นว่า เขาต้องการโดดเดี่ยวซาอุดีอาระเบียให้กลายเป็นพวก ‘นอกคอก’
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซินที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบันทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องร้องขอให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยในส่วนที่หายไปจากการคว่ำบาตรรัสเซีย
นอกจากนี้ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไม่นาน ไบเดนได้เปลี่ยนนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนต่อซาอุฯ ให้มีความเข้มงวดมากขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์นักข่าวถูกฆ่าหั่นศพในสถานกงสุล ซึ่งทางทำเนียบขาวได้ออกมายืนยันเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า จุดยืนของไบเดนต่อนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนต่อซาอุฯ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง