
สหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน
ไบเดน กล่าวว่าความสามารถในการจัดสรรพลังงานอย่างเพียงพออยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้ยังกล่าวโทษรัสเซียว่าเป็นสาเหตุทำให้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีอีกด้วย
ไบเดน ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานเมื่อวันจันทร์ (6 มิ.ย.) โดยระบุว่าความมั่นคงของประเทศ และคุณภาพชีวิตของชาวอเมริกันอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง เนื่องจากอาจประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน
โดยไบเดน ได้บังคับใช้กฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกัน หรือ Defense Production Act ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่มอบอำนาจให้กับประธานาธิบดีในการสั่งการผู้ผลิตสินค้าที่มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศให้เพิ่มกำลังการผลิตสินค้าดังกล่าว เพื่อกระตุ้นการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศ และพลังงานสะอาดรูปแบบอื่น ๆ ในความพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังจะยกเว้นภาษีศุลกากรกับผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ ภาษีศุลกากรเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างว่าทำให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ เกิดความล่าช้า เนื่องจากประมาณ 3 ใน 4 ของแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งในสหรัฐฯ นำเข้าแผงมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไบเดน กล่าวในคำแถลงประกาศภาวะฉุกเฉินว่า “ปัจจัยหลาย ๆ อย่างกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการจัดสรรไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอกับความต้องการ” โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า “ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ การหยุดชะงักของตลาดพลังงานซึ่งมีสาเหตุมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสภาพภูมิอากาศสุดขั้วซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)”
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ถูกใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นสาเหตุทำให้ไฟฟ้าดับในรัฐอย่างแคลิฟอร์เนีย และเท็กซัส เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม สามารถผลิตไฟฟ้าได้เป็นช่วง ๆ เท่านั้น จึงไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง
โดยฤดูหนาวปีที่แล้วที่หนาวจัดเป็นประวัติการณ์ในรัฐเท็กซัส กังหันลมที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ทำให้ไฟดับ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 246 ราย และสร้างความเสียหายอย่างน้อย 1.95 แสนล้านดอลลาร์ (6.7 ล้านล้านบาท)